tag:blogger.com,1999:blog-1348151709539508642024-03-07T23:31:35.044-08:00นานา..ปัญหา WINDOWSหลากหลายปัญหาวินโดว์..ที่น่าสนใจน้องหมาhttp://www.blogger.com/profile/08981882052008785567noreply@blogger.comBlogger9125tag:blogger.com,1999:blog-134815170953950864.post-42046803742945526632007-06-15T07:44:00.000-07:002007-06-15T10:29:40.819-07:00เครื่อง Restart บ่อย ๆ เพราะอะไร<span style="color: rgb(255, 59, 229);">นานาปัญหาเครื่อง Restart</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">1. ปัญหาจากอุปกรณ์<br /><span style="color: rgb(204, 204, 255);"><br />คอมพิวเตอร์ชอบรีสตาร์ทบ่อย ๆ หลายครั้งมักเกิดหลังจากการอัพเกรดอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าไปใหม่ โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากการใช้แรมคนละยี้ห้อ หรือมีบัสที่แตกต่างจากแรมที่มีอยู่เดิม ดังนั้นการตรวจเช็คจึงควรถอดแรมที่อัพเกรดเข้าไปใหม่ออกเสียก่อน แล้วจึงทดลองใช้งานหากปัญหานี้หมดไป นั่นแสดงว่าป็นเพราะแรมตัวใหม่ นั่นเอง<br /><br />นอกจากแรมแล้วยังมีอุปกรณ์อีกตัวหนึ่งซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เครื่องชอบรีสตาร์ทอยู่บ่อยนั่นคือเพาเวอร์ซัพพลาย หากภายในเคสของเรามีการติดตั้งอุปกรณ์มากเกินไปและแต่ละตัวก็ล้วนกินไฟค่อนข้างมาก เช่น ติดตั้ง ฮาร์ดดิสก์ 2 ตัว หรือติดตั้งการ์ดจอ 3 มิติราคาแพง อุปกรณ์เหล่านี้อาจทำให้เพาเวอร์ซัพพลายจ่ายไฟไม่เพียงพอจนทำให้เครื่องต้องรีสตาร์ทใหม่อยู่บ่อย ๆ ทางแก้คือให้เปลี่ยนเพาเวอร์ซัพพลายตัวใหม่ที่มีวัตต์สูงกว่าเดิม<br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2. ปัญหาจากไวรัส<br /><span style="color: rgb(204, 204, 255);"><br />การรีสตาร์ทบ่อย ๆ ของเครื่องอาจจะมีสาเหตุหลักจากเจ้าตัวไวรัสก็ได้..<br /><blogitemurl><a style="color: rgb(255, 102, 0);" href="http://virus-clickdog.blogspot.com/2007/06/worm-bluster-virus.html">รายละเอียดเพิ่มเติม</a></blogitemurl><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">3. ปัญหาจาก XP "เธอดีเกินไป"<br /><span style="color: rgb(204, 204, 255);"><br />ผู้ที่ใช้ Windows XP ส่วนใหญ่มักจะเจอปัญหาในการรีสตาร์ทเครื่องเองโดยอัตโนมัติ ขณะเปิดใช้งานอยู่ ปัญหาที่พบนี้ไม่ใช่ข้อผิดพลาดในการทำงานของ Windows XP แต่เกิดจากจุดเด่นของตัว Windows XP คือการตรวจสอบความเสถียรภาพของระบบเพื่อให้ผู้ใช้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นขึ้น ซึ่งเมื่อ Windows พบข้อผิดพลาดในการทำงานขึ้น โปรแกรมจะทำการรีสตาร์ทใหม่เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดที่พบ<br /><br /><span style="color: rgb(255, 102, 0);">ขั้นตอนการแก้ไขกรณีนี้..มีดังนี้ครับ<span style="color: rgb(204, 204, 255);"><br /> 1. คลิกขวาที่ My Computer เลือก Properties > แท็ป Advance<br /> 2. ในแท็ป Advance ในหัวข้อ Startup and Recovery คลิกที่ปุ่ม Setting<br /> 3. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ Startup and Recovery ที่ปรากฏขึ้น ให้คุณเอาเครื่องหมาย "ถูก" ของ Automatically restart ออก<br /> 4. คลิกปุ่ม OK เพื่อปิดไดอะล็อกบ็อกซ์<br />Note เมื่อคุณปิดออปชันนี้ ทุกๆครั้งที่คุณชัตดาวน์ หากระบบพบปัญหา <br />คุณจะพบกับหน้าจอแสดงรายการปัญหาที่พบแทนการรีสตาร์ทโดยอัตโนมัติ<br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">ทั้งนี้และทั้งนั้น..การรีสตาร์ทของเครื่องมันอาจมาจากหลายสาเหตุ<br />ต้องคอยสังเกตุนะครับว่า...มันรีสตาร์ทตอนไหนอย่างไร..ลงโปรแกรมอะไรใหม่ลองremove ออกดู...หรืออุปกรณ์<br />ฮาร์ดแวร์ตัวไหนที่พึ่งใส่ไปใหม่ให้ลองถอดแล้วใส่ใหม่...ฯลฯ<br />อ่าาา...จะว่าไปแล้วก็หลายสาเหตุครับ.....น้องหมาhttp://www.blogger.com/profile/08981882052008785567noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-134815170953950864.post-12882219047921823412007-02-07T08:44:00.000-08:002007-02-07T08:50:38.788-08:00การ BackUp Registry และ Restore<span style="color: rgb(255, 59, 229);">การ backup registry คลิกเมนู Start คลิกคำสั่ง Run</span><br /><span style="color: rgb(204, 204, 255);"> 1. พิมพ์คำว่า regedit และกดปุ่ม enter<br /> 2. ที่เมนู registry คลิก Registry เลือกคำสั่ง Export Registry File<br /> 3. พิมพ์ชื่อไฟล์ เช่น backup registry เป็นต้น<br /> 4. ที่ตัวเลือก Export range ด้านล่าง ให้คลิกเลือก All<br /> 5. จากนั้น คลิกปุ่ม Save <br /><br /><span style="color: rgb(255, 59, 229);">การ Restore Registry กรณีที่สามารถ เข้าระบบ Windows ได้</span><br /> 1. คลิกเมนู Start คลิกคำสั่ง Run<br /> 2. พิมพ์คำว่า regedit และกดปุ่ม enter<br /> 3. ที่เมนู registry คลิก Registry เลือกคำสั่ง Import Registry File<br /> 4. เลือกโฟลเดอร์ที่เก็บ registry<br /> 5. จากนั้น คลิกปุ่ม Open<br /> 6. โปรแกรมจะเริ่มทำการ restore registry ให้อัตโนมัติ <br /><br /><span style="color: rgb(255, 59, 229);">กรณีที่ไม่สามารถเข้าระบบ Windows ได้</span><br /> 1. ให้ boot ด้วยแผ่น boot เพื่อเข้าระบบ DOS<br /> 2. พิมพ์คำสั่ง cd\windows\command เพื่อย้าย drive ไปยังโฟลเดอร์ windows\command<br /> 3. พิมพ์คำสั่ง scanreg.exe /fix (ตรวจสอบและแก้ไข registry อัตโนมัติ) จากนั้น restart ใหม่ ถ้ายังไม่ได้ให้<br /> 4. เปลี่ยนเป็นพิมพ์คำสั่ง scanreg.exe /restore (ตรวจสอบและนำ registry เก่าที่สำรองไว้อัตโนมัติมาใช้งาน) โดยเราสามารถเลือกวันที่ต้องการได้ (การ restore วิธีนี้ เป็นการ restore โดยการดึงข้อมูล registry ที่มีการสำรองอัตโนมัติโดย Windows) <br /></span>น้องหมาhttp://www.blogger.com/profile/08981882052008785567noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-134815170953950864.post-88772488885972381122007-02-07T08:05:00.000-08:002007-02-07T08:23:06.956-08:00Taskbar & Start Menu หายทำไง...<span style="color: rgb(204, 204, 255);">เกี่ยวกับปัญหา Taskbar & Start Menu หายไป ไม่แสดงในเมนู Settings ซึ่งปกติที่อยู่ด้านล่างของเมนู Printers ทางเราได้มีการตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่ามีการแก้ไขในส่วนของ Group Policy ของ Windows ซึ่งการแก้ไข สามารถทำได้ดังนี้..<br /><br /><br /> <span style="color: rgb(255, 0, 0);">ขั้นตอนการใส่ password อัตโนมัติใน Windows 2000/xp</span><br /><br /> 1. คลิกปุม Start เลือก Run<br /> 2. พิมพ์คำว่า <span style="color: rgb(0,153, 0);">"gpedit.msc"</span> จากนั้นกดปุ่ม Enter<br /> 3. จะได้หน้าต่างดังภาพประกอบ<br /><br /><a href="http://photobucket.com/" target="_blank"><img src="http://i50.photobucket.com/albums/f339/clickdog/blogger/windows/policy.gif" border="0" alt="Photobucket - Video and Image Hosting"></a><br /><br /> 4. ในส่วนของ User Configuration คลิกเลือก Administrative Templates<br /> 5. คลิกเลือก Start Menu & Taskbar<br /> 6. ในด้านต่างหน้าขวา คลิกเลือก disable changes to Taskbar & Start Menu Settings<br /> 7. จะมีหน้าต่างเปิดใหม่ คลิกเลือก Disabled<br /> 8. คลิกปุ่ม Apply ก็เป็นอันเสร็จ</span>น้องหมาhttp://www.blogger.com/profile/08981882052008785567noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-134815170953950864.post-34634177332282617562007-02-07T07:56:00.000-08:002007-02-07T07:59:28.301-08:00Icon Volume ไม่แสดง<span style="color: rgb(204, 204, 255);">สัญลักษณ์ Volume เป็นสัญลักษณ์ในใช้ในการปรับระดับเสียง ควบคุมเกี่ยวกับเสียง และมักจะใช้สำหรับแสดงว่าเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ มี sound card หรืออีกนัยหนึ่งคือสามารถดูหนัง ฟังเพลงได้<br /><br /> * สาเหตุของปัญหา มีการใช้คำสั่งลบออกไป, หรือมีการ remove sound card ออก <br /><br /> 1. คำแนะนำการแก้ไข ลองตรวจสอบและแก้ไข โดยคลิกไปที่เมนู Start<br /> 2. คลิกเลือก Settings และคลิก Control Panel<br /> 3. คลิกเลือก Sounds and Multi-media<br /> 4. แท็ป Sound ในช่อง show volume control on the taskbar ให้คลิกแสดงเครื่องหมายถูก<br /> 5. คลิก apply เพื่อยืนยันการปรับแต่ง<br /><br /> หมายเหตุ : กรณีมีการ remove sound ออก จะต้องมีการติดตั้ง sound card และลง driver ของ sound card ให้ถูกต้อง หลังจากนั้น สัญลักษณ์ Volume ก็จะแสดงให้อัตโนม้ติ</span>น้องหมาhttp://www.blogger.com/profile/08981882052008785567noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-134815170953950864.post-25360246968106901992007-02-07T07:44:00.001-08:002007-02-07T07:49:21.351-08:00SAVE MODE<span style="color: rgb(204, 204, 255);">ปัญหาของ Windows อย่างหนึ่งที่พบมากคือ เมื่อมีการติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ หรือโปรแกรมใหม่ๆ เข้าไปแล้ว ไม่สามารถใช้งาน Windows ได้ นอกจากนี้ปัญหาอาจเกิดมาจากไวรัสได้เช่นกัน<br /><br />วิธีการแก้ปัญหาของ Windows ได้ดีมากที่สุด ก็คือการเข้า Save Mode .. เราสามารถเข้าหน้า safe mode ของ Windows ได้โดยระหว่าง boot เครื่อง ก่อนเข้า Windows ให้กด F8 (ย้ำต้องกด ก่อนขึ้นหน้า Windows)<br /><br />หลังจากเข้าหน้าต่าง Save Mode แล้ว (สังเกตุได้จากทุกมุมที่หน้าจอจะมีคำว่า save mode อยู่) เราสามารถ uninstall ไฟล์หรือโปรแกรมที่เราได้มีการติดตั้งไปแล้วเกิดปัญหาขึ้น หรือทำการตรวจสอบไวรัสได้ด้วย (ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการตรวจสอบไวรัสที่ดีมากอย่างหนึ่งเลยทีเดียว)<br /><br /><span style="color: rgb(255, 0, 0);">Save Mode ด้วย msconifg</span><br />เราสามารถเข้า save mode ผ่านโปรแกรม msconfig ได้ดังนี้<br /><br />1. กดปุ่ม start เลือก run<br />2. พิมพ์ msconfig กดปุ่ม enter<br />3. คลิกแท็ป boot.ini<br />4. คลิกเลือก /BOOTSAVE<br />5. คลิกปุ่ม OK และ restart ใหม่<br /><br />ถ้าต้องการยกเลิกเข้า save mode ก็ให้เริ่มต้นใหม่ และยกเลิกเลือกคำสั่ง /BOOTSAVE</span>น้องหมาhttp://www.blogger.com/profile/08981882052008785567noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-134815170953950864.post-40736333568149384662007-02-04T08:50:00.000-08:002007-02-04T09:10:33.238-08:00HACK Windows ให้แท้<span style="color: rgb(204, 204, 255);">เป็นวิชามาร..ง่าย ๆ ที่ใช้ Hack Windows จากของเถื่อนให้เป็นของแท้...ว่างั้น..<br /><br />1. พิมพ์ regedit ในช่อง run แล้วเข้าไปที่<span style="color: rgb(205, 102, 0);"><br />HKey_Local_Machine\Software\Microsoft\WindowsNT\Current Version\WPAEvents,</span><br />ทางด้านขวา ดับเบิ้ลคลิ๊กที่ oobetimer แล้วลบตัวเลขที่อยู่ในนั้นให้หมด(จะเหลือเลข 0 อยู่สี่ตัวมันจะลบไม่ได้)อันนี้เป็นการล้างค่าที่ไมโครซอฟท์ใช้ตรวจสอบวินโดวส์ของเราครับ<br />เสร็จแล้วกด OK แล้วปิดไปได้เลย<br /><br />2. จากนั้นพิมพ์<br /><span style="color: rgb(51, 204, 0);">%systemroot%\system32\oobe\msoobe.exe /a</span><br />ลงในช่อง run แล้วกด Enter จะปรากฎหน้าต่างของ Activate Windows ขึ้นมา ให้เลือกที่<br />Yes, I want to telephone a customer service representative to activate Windows แล้วคลิ๊กที่ Next<br /><br /><br />3. คลิกที่ <span style="color: rgb(51, 204, 0);">Change Product Key </span>โดยที่ไม่ต้องใส่อะไรทั้งนั้นในหน้านี้<br /><br /><br />4. จากนั้นให้ใส่ Product Key <span style="color: rgb(205, 102, 0);">B3P7V-Q2WTH-CRK4R-YHJRF-39H4M</span><span style="color: rgb(204, 204, 255);"><br />แล้วคลิ๊กที่ Update เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้ปิดหน้าต่างนี้ไปได้เลย โดยคลิ๊กที่ X ที่มุมขวาบน<br /><br /><br />5. รีสตาร์ทเครื่องหนึ่งครั้ง แล้วพิมพ์<br /><span style="color: rgb(51, 204, 0);">%systemroot%\system32\oobe\msoobe.exe /a </span><br />แล้วกด Enter จะปรากฎคำว่า Windows is already activated<br />ถ้าขึ้นตามนี้ก็แสดงว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับ<br /><br />6. ทดสอบโดยการตรวจสอบกับทางไมโครซอฟท์ โดยการเปิด Windows Explorer แล้วเลือกที่ Help<br />แล้วเลือกที่ ตรวจสอบลิขสิทธิ์วินโดวส์ ถ้ามันบอกว่าเป็นของแท้ก็ลุย อัพเดท<br />โหลดและติดตั้งโปรแกรมฟรีของไมโครซอฟท์ ทั้ง Windows Defeder , WMP11</span></span>น้องหมาhttp://www.blogger.com/profile/08981882052008785567noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-134815170953950864.post-66324134566932028852006-12-09T10:24:00.000-08:002006-12-11T11:01:31.991-08:00บู๊ตคอมพ์แล้วค้าง เครื่องบู๊ตใหม่เอง<span style="color: rgb(51, 255, 51); font-weight: bold;">อาการ</span> เปิดเครื่องคอมฯ แล้วเครื่องบู๊ตไม่ยอมหยุด หน้าต่างแสดงในส่วนของ bios อยู่ (หน้าสีดำ และมีตัวอักษร) หน้าต่าง Windows ยังไม่ได้แสดงเลย ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร แล้วจะทำอย่างไรได้บ้าง<br /><br /><span style="color: rgb(51, 255, 51); font-weight: bold;">สาเหตุ</span> (ที่อาจเป็นไปได้)<br />ไฟล์ NTDETECT.com ซึ่งเป็นระบบของ Windows เสียหาย หรือหายไป<br /><br /><span style="color: rgb(51, 255, 51); font-weight: bold;">การแก้ไข</span><br /><ol><li>บู๊ตด้วยแผ่น boot Windows XP<br /></li><li>ระหว่างบู๊ตจะมีหน้าต่างแสดงด้านล่างให้กด ตัว R เพื่อเข้าระบบ (R=Repair) เราเรียกวิธีการนี้ว่า Recovery Console<br /></li><li>จากนั้นรอสักพัก จะมีหน้าต่างให้เลือก partition ให้เลือก 1 C:\WINDOWS:</li><li>ใส่ password ในส่วนของ Administator ลงไป</li><li>จากนั้นเมื่อเข้าสู่ระบบได้แล้ว (จะอยู่ในลักษณะของ DOS โหมด)</li><li>พิมพ์คำสั่ง copy d:\i386\ntdetect.com c:\</li><a href="http://photobucket.com/" target="_blank"><img src="http://i50.photobucket.com/albums/f339/clickdog/blogger/ff-13.gif" alt="Photobucket - Video and Image Hosting" border="0" /></a><li>หลังจาก copy ได้แล้ว ให้พิมพ์คำสั่ง Exit เพื่อออกจาก Repair และ Restart Windows ใหม่<br /></li></ol>น้องหมาhttp://www.blogger.com/profile/08981882052008785567noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-134815170953950864.post-69570419842428269252006-12-09T10:16:00.000-08:002006-12-09T10:38:39.351-08:00เข้าวินโดว์แล้วเครื่องบู๊ตใหม่เอง<span style="color: rgb(102, 255, 153); font-weight: bold;">อาการ</span> เปิดเครื่องคอมฯ แล้วเครื่องบู๊ตไม่ยอมหยุด แสดงหน้าต่าง Windows แล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าหน้า Login ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร แล้วจะทำอย่างไรได้บ้าง<br /><br /><span style="color: rgb(102, 255, 153); font-weight: bold;">สาเหต</span><span style="font-weight: bold; color: rgb(102, 255, 153);">ุ </span>(ที่อาจเป็นไปได้)<br />ไฟล์ KERNEL32.DLL ซึ่งเป็นระบบของ Windows เสียหาย หรือหายไป (ปกติไฟล์ Kernel32.dll จะอยู่ในโฟลเดอร์ C:\Windows\system32<br /><br /><span style="font-weight: bold; color: rgb(102, 255, 153);">การแก้ไข</span><br /><br />1. บู๊ตด้วยแผ่น boot Windows XP<br />2. ระหว่างบู๊ตจะมีหน้าต่างแสดงด้านล่างให้กด ตัว R เพื่อเข้าระบบ (R=Repair) เราเรียกวิธีการนี้ว่า Recovery Console<br />3. จากนั้นรอสักพัก จะมีหน้าต่างให้เลือก partition ให้เลือก 1 C:\WINDOWS:<br />4. ใส่ password ในส่วนของ Administator ลงไป<br />5. จากนั้นเมื่อเข้าสู่ระบบได้แล้ว (จะอยู่ในลักษณะของ DOS โหมด)<br />6. ตรวจเช็คไฟล์ kernal32.dll ว่ามีหรือไม่ โดยเข้าไป C:\windows\system32<br />7. พิมพ์คำสั่ง "dir kernal32.dll" กดปุ่ม Enter<br />8. ถ้าขึ้นคำว่า "File Not Found" ให้ทำในหัวข้อต่อไป แต่ถ้ามี ให้พิมพ์คำสั่ง "rename kernal32.dll kernal32.old" เพื่อเปลี่ยนชื่อไฟล์และเก็บสำรองไว้ก่อน<br />9. พิมพ์คำสั่ง expand d:\i386\kernal32.dl_<br /><br /><a href="http://photobucket.com/" target="_blank"><img src="http://i50.photobucket.com/albums/f339/clickdog/blogger/ff-12.gif" alt="Photobucket - Video and Image Hosting" border="0" /></a><br /><br />10. หลังจาก copy ได้แล้ว ให้พิมพ์คำสั่ง Exit เพื่อออกจาก Repair และ Restart Windows ใหม่น้องหมาhttp://www.blogger.com/profile/08981882052008785567noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-134815170953950864.post-18912286561060574402006-12-09T10:13:00.000-08:002006-12-09T10:15:46.811-08:00Unmountable Boot Valume<span style=";font-family:Tahoma,Arial,sans-serif;font-size:130%;color:purple;" ><span style="font-family:Tahoma,Arial,sans-serif;"><b>ใช้ XP หน้าจอขึ้นข้อความ "<span style="color: rgb(255, 153, 0);">Unmountable Boot Volume</span>" แล้วค้าง</b></span></span><br /><span style=";font-family:Tahoma,Arial,sans-serif;font-size:100%;color:black;" ><span style=";font-family:Tahoma,Arial,sans-serif;color:black;" ><br /><span style="color: rgb(255, 255, 255);">เปิดเครื่องคอมฯ ขึ้นมา ยังไม่ได้เข้าถึง Windows XP เลย ก็ปรากฏข้อความเกือบเต็มหน้า และมีข้อความแสดงว่า "</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">UNMOUNTABLE_BOOT_VOLUME</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">" เครื่องค้างไปเลย ทำอะไรไม่ได้ ได้ทดลอง boot ใหม่ และพยายามเข้า save mode ก็ไม่ได้เช่นกัน พยายามทำ System Restore ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;"><span style="color: rgb(102, 255, 153);"> สาเหตุ</span> </span><span style="color: rgb(255, 255, 255);"> (ที่อาจเป็นไปได้)</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 255);">มีการติดตั้งอุปกรณ์ที่ไม่เข้ากับ Windows XP (ถ้าใช่ให้ลองถอดออกก่อนและลองติดตั้งใหม่) แต่ถ้ายังไม่ได้ ให้ทำวิธีดังน<span style="color: rgb(255, 255, 255);">ี้ </span></span></span></span><span style="font-size:100%;"><br /></span><span style=";font-family:Tahoma,Arial,sans-serif;font-size:100%;color:black;" ><span style=";font-family:Tahoma,Arial,sans-serif;color:black;" ><b style="color: rgb(102, 255, 153);"><br />การแก้ไข</b><br /></span></span><ol><span style=";font-family:Tahoma,Arial,sans-serif;font-size:100%;color:black;" ><span style=";font-family:Tahoma,Arial,sans-serif;color:black;" ><li style="color: rgb(255, 255, 255);">บู๊ตด้วยแผ่น boot Windows XP </li><li style="color: rgb(255, 255, 255);">ระหว่างบู๊ตจะมีหน้าต่างแสดงด้านล่างให้กด ตัว R เพื่อเข้าระบบ (R=Repair) เราเรียกวิธีการนี้ว่า Recovery Console </li><li style="color: rgb(255, 255, 255);">จากนั้นรอสักพัก จะมีหน้าต่างให้เลือก partition ให้เลือก 1 C:\WINDOWS: หรือ </li><li style="color: rgb(255, 255, 255);">ถ้าไม่ได้มีหัวข้อให้เลือก ก็จะเข้า Drive C: เลย (เหมือนกับระบบ DOS) </li><li style="color: rgb(255, 255, 255);">จากนั้นพิมพ์คำสั่ง "CHKDSK /R" คำสังนี้จะทำการตรวจสอบดิกส์ และซ่อมให้อัตโนมัติ </li><li style="color: rgb(255, 255, 255);">รอจนกระทั่งเสร็จ 100% ทั้งนี้ ขึ้นกับปัญหาและขนาดของฮาร์ดดิกส์ว่าใหญ่ขนาดไหน สำหรับของผม 80 gb ก็ใช้เวลาประมาณ 10 กว่านาที </li><li style="color: rgb(255, 255, 255);">ถ้าต้องการให้แน่นอนมากขึ้น หลังจาก CHKDSK เสร็จแล้ว ให้พิมพ์คำสั่ง "fixboot" ด้วย </li><li style="color: rgb(255, 255, 255);">เสร็จแล้ว ให้พิมพ์คำสั่ง Exit เพื่อออกจาก Repair และ Restart Windows ใหม่ </li></span></span></ol><span style=";font-family:Tahoma,Arial,sans-serif;font-size:100%;color:purple;" ><span style="font-family:Tahoma,Arial,sans-serif;"><span style="font-weight: bold; color: rgb(255, 153, 102);">ทิป:: </span><span><span style="font-weight: bold; color: rgb(255, 153, 102);">คำสั่งที่ให้พิมพ์นั้น จะเป็นตัวพิมพ์เล็กหรือใหญ่ก็ได้ทั้งนั้น</span><br /></span></span></span>น้องหมาhttp://www.blogger.com/profile/08981882052008785567noreply@blogger.com0